วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล (Exponential Function)


จากการศึกษาในเรื่องเลขยกกำลัง ซึ่งท้ายที่สุดเราได้สนใจเลขยกกำลังที่มีฐานเป็นจำนวนจริงบวก และเลขชี้กำลังเป็นจำนวนจริงใด ๆ
แต่ได้มีนักคณิตศาสตร์ได้สังเกตเห็นว่า ถ้าเลขยกกำลังมีฐานเป็น 1 และเลขชี้กำลังเป็นจำนวนจริงใด ๆ ดังนี้
ถ้ากำหนดให้ a = 1 และ x เป็นจำนวนจริงใดแล้วจะได้
ax = 1x = 1
ข้อสังเกต
  • ไม่ว่า x จะเป็นจำนวนจริงใด ๆ ก็ตาม 1x ก็ยังคงเท่ากับ 1 เสมอ ดังนั้นจึงไม่น่าสนใจ เนื่องจาก เราทราบว่ามันเป็นอะไรแน่ ๆ อยู่แล้ว
  • เรายังไม่ทราบนะว่า เลขยกกำลังที่มีฐานเป็นจำนวนจริงบวกยกเว้น 1 และเลขชี้กำลังเป็นจำนวนจริงใด ๆ แสดงว่าเราจะต้องสนใจศึกษาเลขยกกำลังลักษณะนี้เป็นพิเศษ ซึ่งจะกล่าวถึงใน เรื่องฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลดังนี้
ข้อกำหนด (ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล)
ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล คือ f = { (x, y) Î R ´ R+ / y = ax , a > 0, a ¹ 1 }
ข้อตกลง ในหนังสือคณิตศาสตร์บางเล่มให้ข้อกำหนดของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล เป็นฟังก์ชันที่อยู่ในรูป f(x) = kax เมื่อ k เป็นค่าคงตัวที่ไม่ใช่ 0 และ a เป็นจำนวนจริงบวกที่ไม่เป็น 1 แต่ในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายนี้ จะถือว่าฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลจะอยู่ในรูป f(x) = ax เมื่อ a เป็น จำนวนจริงบวกที่ไม่เป็น 1 เท่านั้น
ข้อสังเกต จากข้อกำหนดฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล
  • f(x) = 1x เป็นฟังก์ชันคงตัวเนื่องจาก 1x = 1 ดังนั้นในข้อกำหนดฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล จึงไม่สนใจ ฐาน (a) ที่เป็น 1
  • f(x) = 1x ไม่เป็นฟังก์ชันเอ็กซ์โพเนนเชียล เนื่องจาก f(x) = 1x เป็นฟังก์ชันคงตัว
  • จากเงื่อนไขที่ว่า y = ax, a > 0, a ¹ 1 ทำให้เราทราบได้เลยว่าฐาน (a) มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 0 < a < 1 กับ a > 1
  • ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลจะมีอยู่ 2 ชนิด โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของฐาน (a) ดังนี้
ชนิดที่ 1 y = ax, 0 < a < 1
ชนิดที่ 2 y = ax, a > 1
กราฟของฟังก์ชัน y = ax, 0 < a < 1
ลองศึกษารูปร่างกราฟของฟังก์ชัน y = ax, 0 < a < 1 จากตัวอย่างดังต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1 จงเขียนกราฟของฟังก์ชัน y =
วิธีทำ ฟังก์ชัน y = เป็นฟังก์ชันเอกซ์โพเนินเชียลที่มีฐาน (a) เป็นจำนวนจริงบวกที่มีค่าน้อยกว่า 1 ( 0 < a < 1 นั่นเอง)
เขียนตารางแสดงจุดผ่านบางจุดของกราฟ y = ดังนี้

x
-3
-2
-1
0
1
2
3
y
8
4
2
1
จากตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นรูปร่างกราฟของฟังก์ชัน y =จะเห็นได้ว่า
  1. ค่าของ y จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อ x มีค่าเป็นจำนวนลยที่น้อยลงเรื่อย ๆ
  2. ค่าของ y จะค่อย ๆ ลดลงเข้าใกล้ศูนย์เมื่อ x มีค่าเป็นจำนวนบวกมากขึ้น
อาจกล่าวได้ว่า เมื่อ x มีค่าเพิ่มขึ้นจะทำให้ y มีค่าลดลงตามไปด้วย แสดงว่าฟังก์ชันก์ y = จึงเป็นฟังก์ชันลดในโดเมนของฟังก์ชันซึ่งเป็นเซตของจำนวนจริง ถูกเรียกสั้น ๆ ว่า y = เป็นฟังก์ชันลด

ไฮเพอร์โบลา

บทนิยาม ไฮเพอร์โบลา คือ เซตของจุดทุกจุดในระนาบ ซึ่งผลต่างของระยะทางจากจุดใดๆ ในเซตนี้ไปยังจุดที่สองจุดบนระนาบมีค่าคงตัว ซึ่งมากกว่าศูนย์ แต่น้อยกว่าระยะห่างระหว่างจุดคงที่ทั้งสอง
จุดคงที่นี้เรียกว่า "โฟกัสของไฮเพอร์โบลา"

1. กราฟไฮเพอร์โบลาที่มีควาามสัมพันธ์เป็น

มีลักษณะดังนี้

Sorry, this page requires a Java-compatible web browser.


ลักษณะของไฮเพอร์โบลา
จุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด O(0, 0)
แกนตามขวางอยู่บนแกน X
จุดยอดอยู่ที่จุด A'(-a,0) และ A(a, 0)
และ เรียก A'A ว่า แกนตามขวาง และยาว 2a หน่วย (a>0)
จุดปลายแกนสังยุดอยู่ที่จุด B'(0, -b) และ B(0, b)
และ เรียก B'B ว่า แกนสังยุค และยาว 2b หน่วย (b>0)
จุดโฟกัสอยู่ที่จุด F'(-c, 0) และ F(c, 0)
และ F'F ยาว 2c หน่วย (c>0)
c > a > 0 และ
ลาตัสเรกตัม ของไฮเพอร์โบลายาว =
เรียก l และ l' ว่า เส้นอะซิมโทด (asymptode) หรือ เส้นกำกับ
และมีสมการเป็น
eccentricity * ของไฮเพอร์โบลา

* eccentricity คือ อัตราส่วนของระยะจากจุดศูนย์กลางไปยังจุดโฟกัส และระยจากจุดศูนย์กลางไปยังจุดยอดเขียนแทนด้วย e

ตัวอย่างที่ 1 จงหาสมการไฮเพอร์โบลา เมื่อผลต่างของระยะจากจุดใดๆ บนไฮเพอร์โบลาไปยังจุด (5, 0) และ (-5, 0) เท่ากับ 8 หน่วย
วิธีทำ เนื่องจากจุด (5, 0) และ (-5, 0) เป็นโฟกัสของไฮเพอร์โบลา ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (0, 0) และ c = 5
แกนตามขวางอยู่บนแกน X และจากผลต่างเทว่ากับ 8 หน่วย จะได้ 2a = 8 นั่นคือ a = 4
เนื่องจาก b = c- a
จะได้ b = 5 - 4
b = 25 - 16 = 9
b = 3
สมการอยู่ในรูป จะได้สมการที่ต้องการคือ
หรือ 9x - 16y = 144
จุดยอดอยู่ที่จุด A'(-4, 0) และ A(4, 0)
จุดปลายแกนสังยุดอยู่ที่จุด B'(0, -3) และ B(0, 3)
สมการเส้นกำกับคือ y = x
3x + 4y = 0 หรือ 3x - 4y = 0
ลาตัสเรกตัมยาวเท่ากับ = หน่วย
e =




พาราโบลา

พาราโบลา


จากรูปจะได้ความสัมพันธ์จุดแต่ละจุดอยู่ห่างจากเส้นตรง l และจุดที่กำหนดให้เป็นระยะทางเท่ากันคือ
AM = MF
BL = LF
VK = KF
DJ = JF
EI = IF
เมื่อเขียนจุดทั้งหมดในระนาบ จะได้กราฟที่เรียกว่า พาราโบลา

บทนิยาม : พาราโบลาคือเซตของจุดทุกจุดบนระนาบ ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นตรงที่เส้นหนึ่งบนระนาบและจุดคงที่จุดหนึ่งบนระนาบนอกเส้นตรงคงที่นั้น เป็นระยะทางเท่ากับเสมอ


ส่วนประกอบของพาราโบลา
- เส้นคงที่ เรียกว่า ไดเรกตริกซ์ของพาราโบลา
- จุดคงที่ (F) เรียกว่า โฟกัสของพาราโบลา
- แกนของพาราโบลา คือเส้นตรงที่ลากผ่านโฟกัส
และตั้งฉากกับไดเรกตริกซ์
- จุดยอด (V) คือจุดยอดที่พาราโบ-ลาตัดกับแกนของพาราโบลา
- เลตัสเรกตัม (AB) คือส่วนของเส้น ตรงที่ผ่านโฟกัส
และ มีจุดปลายทั้ง สองอยู่บนพาราโบลา และตั้งฉากกับ
แกนของพาราโบลา
- เส้นตรงที่ผ่านจุดโฟกัส และตั้งฉากกับไดเรกตริกซ์ เรียกว่า แกนของพาราโบลา
พาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่ที่ (0,0)
สมการของพาราโบลาที่มีจุดยอด อยู่ที่ (0,0) แกนของพาราโบลา คือแกน x หรือ แกน y ซึ่งสามารถ แบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
ก. แกนของพาราโบลาคือแกน x และ โฟกัสอยู่ที่ (c,o) เมื่อ c > o
ไดเรกตริกซ์ คือ เส้นตรง x = -c กราฟของพาราโบลาเปิดขวา
ให้ P(x,y) เป็นจุดใดๆ บนพาราโบลา
PR = PQ
=
x2 - 2cx + c2 + y2 = x2 - 2cx + c2
y2 = 4cx เมื่อ c > 0

ข. แกนของพาราโบลาคือแกน x และโฟกัสอยู่ที่ (c,0) เมื่อ c < 0
ไดเรกตริกซ์ คือ เส้นตรง x = -c กราฟของพาราโบลาเปิดซ้าย


ใช้วิธีการเดียวกับ ข้อ ก. จะได้สมการของพาราโบลา y2 = 4cx เมื่อ c < 0
จากรูปที่ 2 เรียก AB ว่า เลตัสเรกตัมของพาราโบลา เราสามารถคำนวณหา AB ได้ ซึ่งก็คือ ความกว้างของ พาราโบลา ที่โฟกัส

สมมุติให้ พิกัดของ A คือ (x,c) ดังนั้น
x2 = 4 c c
x2 = 4 c2
ดังนั้น x = 2c (เพราะว่า x> 0)
แสดงว่า AF = 2c
เพราะฉะนั้น AB = 2 AF = 4c
นั้นคือ ความยาวของลาตัสเรกตัม = 4c = |4 c| หน่วย
โดยทั่วไป สำหรับพาราโบลา ในลักษณะอื่นๆ เราสามารถแสดงได้ว่า
ความยาวของลาตัสเรกตัม (L.S.) = |4 c| หน่วย

ค. แกนของพาราโบลาคือแกน y และโฟกัสอยู่ที่ (0,2) เมื่อ c > 0
ไดเรกตริกซ์ คือเส้นตรง y = -c กราฟของพาราโบลาจะหงาย

มีสมการ x2 = 4cy เมื่อ c > 0
สมมุติให้ P(x,y) เป็นจุดๆบนพาราโบลา
จากนิยาม PF = PQ
=
x2 + y2 - 2cy + c2 = y2 + 2cy + c2
x2 = 4cy เมื่อ c > 0
ง. แกนของพาราโบลาคือแกน y และโฟกัสอยู่ที่ (0,c) เมื่อ c < 0
ไดเรกตริกซ์ คือ เส้นตรง y = -c กราฟของพาราโบลาจะคว่ำ
ด้วยวิธีเดียวกับข้อ ค. จะได้สมการพาราโบลา
x2 = 4cy เมื่อ c < 0

สรุป : รูปแบบและลักษณะของพาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่ (0,0)
การหาสมการของพาราโบลาที่จุดยอดที่จุด (h,k) และมีแกนขนานกับ แกน x หรือแกน y
1. เมื่อแกนของพาราโบลาขนานกับแกน x
รูปที่ 1 แสดงพาราโบลาเมื่อ c > 0

ให้ จุดยอด อยู่ที่ (h,k)
โฟกัส อยู่ที่ (h + c,k)
ไดเรกตริกซ์เป็นเส้นตรง ที่ x = h - c
ย้ายแกน ให้จุด (0,0) เลื่อนไปที่จุด 0' (h,k)
ระยะห่างระหว่างจุดยอดกับโฟกัสเท่ากับ |c|หน่วย
ดังนั้น สมการของพาราโบลาเมื่อเทียบกับแกนใหม่คือ
(y')2 = 4cx'
แต่ถ้าพิกัดของ P เมื่อเทียบกับแกนเดิมคือ (x,y) จะได้ว่า
y' = y - k และ x' = x - h
ดังนั้น สมการของพาราโบลา เทียบกับแกนเดิมคือ
(y - k)2 = 4c(x - h)
เมื่อ c > 0
รูปที่ 2 แสดงพาราโบลา เมื่อ c < 0

ด้วยวิธีการเลื่อนแกนทางขนาน เช่นเดียวกับ ข้อ 1 สมการของพาราโบลาคือ
(y - k)2 = 4c(x - h)
เมื่อ c < 0
จากสมการ (y - k)2 = 4c(x - h)
กระจายได้ y2 - 2ky + k2 = 4cx - 4ch
y2 - 2ky + - 4cx + k2 + 4ch = 0
เมื่อ A = -2k , B = -4c , C = k2 + 4ch
จะได้ y2 + Ay + Bx + C = 0
จะได้ สมการของพาราโบลาที่มีแกนของพาราโบลา ขนานกับ แกน x จะได้ สมการของพาราโบลา ในรูปทั่วไป
y2 + Ay + Bx + C = 0
เมื่อ B ไม่เท่ากับ 0

2.เมื่อแกนของพาราโบลาขนานกับแกน y

รูป 3 แสดงพาราโบลา เมื่อ c > 0

ให้ จุดยอด อยู่ที่ (h , k)
โฟกัสอยู่ที่ (h , k + c)
ไดเรกตริกซ์เป็นเส้นตรง y = k - c
ย้ายแกนให้จุด (0,0) เลื่อนไปที่จุด 0' (h,k)
ระยะห่างระหว่างจุดยอดกับ โฟกัสเท่ากับ ฝcฝหน่วย
ดังนั้น สมการของพาราโบลาเมื่อเทียบกับแกนใหม่คือ
(x')2 = 4cy'
แต่ถ้าพิกัด ของ P เมื่อเทียบกับแกนเดิม คือ (x,y) จะได้ว่า
x' = x - h และ y' = y - k
ดังนั้นสมการของพาราโบลา เทียบกับแกนเดิมคือ
(x - h)2 = 4c(y - k)
เมื่อ c > 0

รูป 4 แสดงพาราโบลา เมื่อ c < 0

ด้วยวิธีการเลื่อนแกนทางขนาน เช่นเดียวกับข้อ 2 สมการของพาราโบลา คือ
(x - h)2 = 4c(y - k) เมื่อ c < 0
เมื่อ c < 0
จากสมการ (x - h)2 = 4c(y - k)
กระจายได้ x2 - 2hx + h2 = 4cy - 4ck
x2 - 2hx - 4cy + h2 + 4ck = 0
เมื่อ A = -2k , B = -4c , c = h2+ 4ck
จะได้ y2 + Ay + Bx + C = 0 เมื่อ
ดังนั้น สมการของพาราโบลาที่มีแกนของพาราโบลา ขนานกับแกน y จะได้สมการของพาราโบลา ในรูปทั่วไป

y2 + Ay + Bx + C = 0
เมื่อ B ไม่เท่ากับ 0


สรุป : รูปแบบและลักษณะของพาราโบลา ที่มีจุดยอดอยู่ที่ (h,k)