การแก้ไขปรับปรุงเรขาคณิตแบบยุคลิดโดยฮิลแบร์ท
เปอาโน,
จูเซปเป(Peano, Giuseppe. คศ. 1858-1932) นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีได้ให้คำว่า
จุดและระหว่าง เป็นคำอนิยาม
เปอาโนมีความเห็นว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สมมุติฐานที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับจุดและเส้นจึงควรเปลี่ยนข้อความต่างๆที่ใช้ในรูปประโยคสัญลักษณ์ทางตรรกศาสตร์
เช่น แทนที่จะกล่าวว่า
“Two points determine a straight line”เปอาโนจะกล่าวว่า”Two X’s determine a Y”การเรียบเรียงทฤษฎีบทต่างๆตลอดจนการพิสูจน์ของเปอาโน จึงอยู่ในรูปสัญลักษณ์ทางพืชคณิต
“Two points determine a straight line”เปอาโนจะกล่าวว่า”Two X’s determine a Y”การเรียบเรียงทฤษฎีบทต่างๆตลอดจนการพิสูจน์ของเปอาโน จึงอยู่ในรูปสัญลักษณ์ทางพืชคณิต
แพริ,มาริโอ(Pieri,Mario. คศ.1860-1913)นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี
มีผลงานทางเรขาคณิตที่แตกต่างจากนักคณิตศาสตร์คนอื่นๆ ท่านได้ให้คำว่า จุด และ
การเคลื่อน(motion)เป็นคำอนิยาม
ซึ่งปัจจุบันคำว่าการเคลื่อน มีความหมายเช่น เดียวกับคำว่าฟังก์ชัน หรือ การแปลง (transformation)แพริได้กำหนดสัจพจน์ที่เป็นมโนมติของคำว่าการเคลื่อนที่ไว้ 5 ข้อ ซึ่งสัจพจน์ทั้ง 5
ข้อนี้สามารถดัดแปลงให้เหมาะสมกับการพิสูจน์เกี่ยวกับการยกรูปทับ แพริมีแนวคิดว่า
เราขาคณิตแบบยุคลิดเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสมบัติและความสัมพันธ์ระหว่างโครงรูปของจุดซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างภายใต้การเคลื่อนที่แบบเกร็ง
แนวความคิดนี้แม้ว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ภายหลังปลายศตวรรษที่
20 ก็ได้มีการสร้างเรขาคณิตดังกล่าว
ฮิลแบร์ท่านสอนวิชารากฐานเรขาคณิต
ที่มหาวิทยาลัยเกอทิงเงน (Gottinggen)
มีผลงานการบรรยายเกี่ยวกับการอภิปรายถึงระบบสัจพจน์ในรายวิชาเรขาคณิตแบบยุคลิดโดยได้พิมพ์ลงในวารสารในหัวข้อเรื่อง”รากฐานเรขาคณิต”(Grundiagen
be Geometries)ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียง
ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งหลายหน
ผลงานดังกล่าวได้พัฒนาสัจพจน์ในวิชาเรขาคณิตแบบยุคลิดในระนาบและปริภูมิซึ่งมีแนวคิดเกี่ยวกับการอนุมานที่ลึกซึ้ง
อีกทั้งยังไม่มีสัญลักษณ์ทางตรรกศาสตร์เหมือนของพาซก์และเปอาโน
จึงทำให้เข้าใจง่าย
นักเรียนที่มีสติปัญญาปานกลางในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก็สามารถอ่านได้อย่างเข้าใจ
ผลงานดังกล่าว ฮิลแบร์ได้กำหนดคำอนิยาม 6 คำ และสัจพจน์ 21 ข้อสำหรับเรขาคณิตในปริภูมิ สำหรัยเรขาคณิตในระนาบ
ฮิลแบร์ทได้กำหนดคำอนิยาม 5 คำ คือ จุด เส้น อยู่บน
ระหว่าง และ เท่ากันทุกประการ และกำหนดสัจพจน์ 15
ข้อแบ่งเป็น 5 กลุ่มดังต่อไปนี้ (Adler,1967 :285-286)
กลุ่ม I :
สัจพจน์การเชื่อมโยง
I-1
มีเส้นเพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่ผ่านจุดสองจุดต่างกัน
I-2
เส้นแต่ละเส้นจะมีจุดต่างกันอย่างน้อยสองจุด และเส้นแต่ละเส้นจะมีอย่างน้อย 1 จุด ไม่อยู่บนเส้นนั้น
กลุ่ม II : สัจพจน์อันดับ
II-1 ถ้าจุด C อยู่ระหว่างจุดระหว่าง B กับ A ด้วย A และ B แล้ว A,B,C
อยู่บนเส้น
ระหว่าง B กับ A ด้วย แต่ B
ไม่อยู่ระหว่าง C กับ A และ
A ไม่อยู่ระหว่าง C กับ AII-2 สำหรับสองจุด A,B ที่ต่างกัน จะมีจุด C ซึ่งอยู่ระหว่าง A กับ B และจะมีจุด D
ซึ่ง B อยู่ระหว่าง A กับ D
II-3 ถ้า A,B,C เป็นจุดสามจุดที่ต่างกันบนเส้นๆ หนึ่ง แล้วจุดหนึ่งจะอยู่ระหว่างจุด สองจุด
บทนิยาม ส่วนของเส้นตรง AB หมายถึง จุด A, จุด B และจุดทุกจุดที่อยู่ระหว่าง
A กับ B
เรียกจุด A และ B ว่าจุดปลายของส่วนของเส้นตรง และจุด C จะอยู่บนส่วนของ เส้นตรง AB ถ้า C เป็นจุด A หรือจุด B หรือหรือเป็นจุดที่อยู่ระหว่าง
A กับ B
บทนิยาม ให้ A,B,C เป็นจุดสามจุด ซึ่งไม่อยู่บนเส้นเดียวกัน รูปสามเหลี่ยม ABC หมายถึง
ส่วนของเส้นตรงสามเส้น คือ AB,BC,CA เรียกส่วนของเส้นตรง
AB,BC,CA ว่าด้านของรูปสามเหลี่ยมและเรียกจุด
A,B,C ว่าจุดยอดของรูปสามเหลี่ยม
II-4 สัจพจน์ของพาซก์ เส้นตรงซึ่งตัดด้านหนึ่งของรูปสามเหลี่ยม แต่ไม่ผ่าน
จุดยอดของรูปสามเหลี่ยมจะตัดด้านใดด้านหนึ่งในสองด้านที่เหลือ
หมายเหตุ สัจพจน์ของพาซก์นี้ ในตำราบางเล่ม นิยมให้เป็นทฤษฎีบท โดยนำสัจพจน์การแบ่งระนาบมาเป็นสัจพจน์แทน ซึ่งมีใจความดังนี้ “แต่ละเส้นในระนาบจะบ่งจุดในระนาบออกเป็น 2 ส่วน โดยแต่ละส่วนเป็นเซตนูน กล่าวคือ ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมสองจุดใดๆที่อยู่ในส่วนเดียวกัน จะไม่ตัดเส้นแบ่งระนาบ และส่วนของเส้นตรงที่เชื่อม
สองจุดใดๆที่อยู่ต่างส่วนกันจะตัดเส้นแบ่งระนาบเสมอ”ในตำราบางเล่มใช้สัจพจน์ของพาซก์เป็นสัจพจน์
แต่ใช้สัจพจน์ของการแบ่งแยกระนาบเป็นทฤษฎีบท
กลุ่ม III: สัจพจน์การเท่ากันทุกประการ
III-1 ถ้า A และ B เป็นจุดต่างกัน
และ A' เป็นจุดบนเส้นตรง m แล้ว จะมาจุดสองจุดที่ต่างกัน คือ B' และ B''บน m ซึ่งส่วนของเส้นตรง A'B'
เท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรง AB และ ส่วนของเส้นตรง A'B''
เท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรง AB และ ส่วนของเส้นตรง A'B''
ท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรง AB โดยที่ A' อยู่ระหว่าง B' กับ
B''
III-2 ถ้าส่วนของเส้นตรงสองเส้นเท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรงเดียวกันแล้วส่วนของเส้นตรงทั้งสองนั้นจะเท่ากันทุกประการ
III-3
ถ้าจุด C อยู่ระหว่าง A และ
B จุด C' อยู่ระหว่างจุด A' และ B'
และถ้าส่วนของเส้นตรง AC เท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรง
A'C'
และส่วนของเส้นตรง CB เท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรง
C'B'
แล้วส่วนของเส้นตรง AB เท่ากันทุกประการกับส่วนของเส้นตรง
A'B'
บทนิยาม
รังสี AB หมายถึง เซตของจุดที่ประกอบด้วย จุดที่อยู่ระหว่าง A
กับ B รวมทั้ง จุด B และจุด C ทั้งหมด ซึ่ง B อยู่ระหว่าง
A กับ C เรากล่าวว่า รังสี AB ออกจาก จุด A
ทฤษฎีบท ถ้า B' เป็นจุดใดๆ บนรังสี AB แล้ว รังสี AB' และรังสี AB เป็นรังสีเดียวกัน
บทนิยาม มุม
หมายถึง จุดๆ หนึ่งและรังสีสองรังสีที่ออกจากจุดนั้น เรียกจุดนั้นว่าจุดยอดของมุมและเรียกสองรังสีนั้นว่า
แขนของมุม ถ้า A เป็นจุดยอด และจุด B, C อยู่บนแขนแต่ละแขนของมุม
เราเรียกชื่อมุมดังกล่าวว่า มุม BAC หรือ มุม CAB
บทนิยาม ถ้า ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง เราเรียกมุม BAC, CBA, ACB ว่า มุมของรูปสามเหลี่ยม
เรียกส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมมุมว่าด้านของรูปสามเหลี่ยม
III – 4 ถ้า ABC เป็นมุมซึ่งแขนของมุมไม่อยู่บนเส้นเดียวกัน และถ้า A', B' เป็นจุดสองจุดที่แตกต่างกันแล้ว จะมีสองรังสีเท่านั้นคือ A' C' และ A' C' ซึ่งมุม B' A' C' เท่ากันทุกประการกับมุม
BAC และมุม B' A' C'' เท่ากันทุกประการกับมุม
BAC โดยที่ ถ้า D' เป็นจุดใด ๆ บนรัง
A' C' และ D'' เป็นจุดใด ๆ บนรังสี A'
C'' แล้วส่วนของเส้นตรงD' D'' ตัดกับเส้นตรงที่เกิดจากจุด
A' และ B'
III - 5 มุมทุกมุมต่างก็เท่ากับตัวมันเอง
III – 6 ถ้าด้านสองด้านและมุมระหว่างด้านทั้งสองของรูปสาม
เหลี่ยมรูปหนึ่งเทากันทุกประการกับด้านสอง ด้านและมุมระหว่างด้าน
ทั้งสองของรูปสามเหลี่ยมอีกรูปหนึ่งแล้ว มุมที่เหลือของรูปสามเหลี่ยม
รูปแรกจะเท่ากันทุกประการกับมุมที่เหลือของรูปสามเหลี่ยมอีกรูป
เหลี่ยมรูปหนึ่งเทากันทุกประการกับด้านสอง ด้านและมุมระหว่างด้าน
ทั้งสองของรูปสามเหลี่ยมอีกรูปหนึ่งแล้ว มุมที่เหลือของรูปสามเหลี่ยม
รูปแรกจะเท่ากันทุกประการกับมุมที่เหลือของรูปสามเหลี่ยมอีกรูป
กลุ่ม IV: สัจพจน์เส้นขนาน
IV – 1 สัจพจน์เพลย์แฟร์ที่ จุด A ซึ่งไม่อยู่บนเส้น m จะมีเพียงหนึ่งเส้นที่ผ่าน A
และไม่ตัดกับ m
กลุ่ม V: สัจพจน์ความต่อเนื่อง
V – 1 สัจพจน์ของอาร์คิมีดิส
ถ้า
และ
เป็นส่วนของเส้นตรง ซึ่ง
ยาวกว่า
จะมีจำนวนเต็มบวก n
ซึ่ง n · CD > AB
V
– 2 สัจพจน์บริบูรณ์
บนเส้นใด ๆ
ในระบบไม่อาจเพิ่มจุดเพิ่มไปจากเดิมโดยสอดคล้องกับสัจพจน์ที่กล่าวมา
ข้อสังเกต สัจพจน์กลุ่ม 1
อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับคำว่า “อยู่บน”
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างจุดกับ เส้น สัจพจน์กลุ่ม
II อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับคำว่า
“ระหว่าง” ซึ่ง พาซก์ ได้ริเริ่มเป็นคนแรก
สัจพจน์กลุ่มนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีจุดบนเส้น ๆ
หนึ่งจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนและไม่มีจุดปลายสิ้นสุดที่จุดใดจุดหนึ่งนั้นคือเส้นยาวไม่จำกัด
สำหรับสัจพจน์ของพาซก์
|
<> ><>>
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น