วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมตริกซ์ผูกผัน

ในระบบจำนวนจริง ถ้า a ไม่ใช้ศูนย์แล้วจะมีจำนวนจริง b ซึ่ง ab = 1 เราเรียกจำนวนจริง b นี้ว่า ถ้าผกผัน
การคูณของ a เขียนด้วยสัญลักษณ์ ทำนองเดียวกัน สำหรับเมตริกซ์จัตุรัส A จะมีบางเมตริกซ์ที่สามารถทำ

เมตริกซ์จัตุรัส B ขนาดเดียวกับ A ซึ่ง AB = BA = I คือ B เป็นเมตริกซ์ผกผันของ A เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์

นิยาม 2.3 ให้ A เป็นเมตริกซ์ขนาด nxn แล้วกล่าวได้ว่า เมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Nonsingular Matrix) หรือ

เมตริกซ์ซึ่งหาเมตริกซ์ผกผันได้ และกล่าวว่าเมตริกซ์ B เป็นเมตริกซ์ผกผันของ A

การหาเมตริกซ์ผกผันโดยวิธีผูกผัน (Inverse by Adjoint Method)


นิยาม 2.1 เมตริกซ์ผูกผัน (Adjoins Matrix)

ถ้า A =

จะหาโคแฟคเตอร์เมตริกซ์ของ A ได้

A =

และเมตริกซ์ผูกผันของ A เป็นเมตริกซ์ขนาด n x n ถ้า det A 0 แล้ว

=

หมายเหตุ ถ้า A = แล้ว

A = = =

จะได้

ทฤษฎีบท 2. 1 . ให้ A เป็นเมตริกซ์ขนาด n?n กล่าวว่า A เป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Non-singalar Matrix)

ก็ต่อเมื่อ det A 0 หรืออีกนัยหนึ่งว่า A เป็นเมตริกซ์เอกฐาน (Singalar Matrix) ก็ต่อเมื่อ det A

หมายเหตุ วิธีผูกผันเหมาะสำหรับหาเมตริกซ์ผกผันขนาด 2 x2 และ3 x 3 ถ้าใหญ่กว่านี้ จะยุ่งยาก แต่มีวิธี

ที่ง่ายกว่าคือ ใช้วิธีการทำเป็นการเชิงแถว (Row Operation Method)

การใช้การดำเนินการเชิงแถวหาค่าเมตริกซ์ผกผัน (Inverse by Row Operation)


ทฤษฎีบท 2.2 ถ้าเมตริกซ์ A ขนาด n x n สามารถแปลงไปสู่เมตริกซ์เอกลักษณ์ I โดยวิธีการดำเนินการ

เชิงแถว แล้ว A เป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน และโดยการดำเนินการเดียวกันกับที่แปลง A ไปเป็น I จะแปลง Iไปเป็น

ด้วยคือ

~

ทฤษฎีบท 2.3 คุณสมบัติของเมตริกซ์ผกผัน

\ ให้ A,B เป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน และ C เป็นสเกลาร์ที่ไม่เป็นศูนย์

1. (A -1) -1 = A
2. (AB) -1 = B -1A -1
3. (A T) -1 = (A -1) T
4. (CA) -1 = A -1
5. ถ้า A = แล้วจะได้
A -1 =
6. ถ้า A มีอินเวอร์ส และ AB = AC แล้ว B = C
7. ถ้า A มีอินเวอร์ส และ AB = 0 แล้ว B = 0
8. ถ้า A เป็นเมตริกซ์มาตรฐานแล้ว AB และ BA เป็นเมตริกซ์เอกฐาน ด้วย
9. ถ้า AB = 0 และ A 0 , B 0 แล้ว A และ B ไม่มีอินเวอร์สแล้วจะได้
( a 11 - ) X 1 + a 12X 2 + … + a 1nX n = 0
a 21X 1 + ( a 22 - ) X 2 + … + A 2nX n = 0
a n1X 1 + a nX 2 + … + ( a nn. - ) X n = 0 ( 1 )



ระบบสมการ (I) จะมีคำตอบที่ไม่เป็นศูนย์ (non-trivial solution ) ก็ต่อเมื่อดีเทอร์มิแนนท์ของเมตริกซ์

สัมประสิทธิ์เท่ากับศูนย์ นั่นคือ

= 0

หรือ = 0 (2 )

เรียกสมการ ( 2 ) ว่าสมการลักษณะเฉพาะ ( Characteristic Equation )

ถ้าเรากระจายหาค่าดีเทอร์มิแนนท์ จะได้ว่า

- + b n-1+ … + b1 + b0 = 0 ( 3 )

โดย b n-1 , b n-2 ,….., b 1,b 0 เป็นค่าคงที่

สมการ ( 3 ) เป็นฟังก์ชันพหุนามในเทอมของ ( polynomial in ) ที่มีดีกรีไม่เกิน n รากของสมการ ( 3 )

จึงเป็นค่าไอเก้นทั้งหมดที่มีไม่เกิน n ค่าจะแทนด้วย , , ,…, วิ่งอาจมี บางตัวซ้ำกันได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น